Esta página pode conter conteúdos de terceiros, que são fornecidos apenas para fins informativos (sem representações/garantias) e não devem ser considerados como uma aprovação dos seus pontos de vista pela Gate, nem como aconselhamento financeiro ou profissional. Consulte a Declaração de exoneração de responsabilidade para obter mais informações.
Inflação vs. deflação: os investidores precisam entender a diferença e saber como agir corretamente
เมื่อพูดถึงการจัดการการเงิน การเข้าใจเงินเฟ้อกับเงินฝืดจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะทั้งสองภาวะเศรษฐกิจนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การลงทุนและการวางแผนการเงินของเรา
ภาวะเงินเฟ้อ: ความเข้าใจฉบับเต็มสำหรับนักลงทุน
เงินเฟ้อ เกิดขึ้นเมื่อระดับราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ การที่ราคาเพิ่มขึ้นหมายความว่าค่าเงินในมือเราลดลงตามไปด้วย ทำให้เงินจำนวนเดียวกันสามารถซื้อของได้น้อยลง
ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากคุณเคยซื้อข้าวด้วยเงิน 50 บาท แล้วสามารถได้หลายจาน แต่ปัจจุบันเงินจำนวนเดียวกันคงเหลือเพียงจานเดียว นั่นคือผลของเงินเฟ้อที่ทำให้ของแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เงินฝืด: ความขัดแย้งของภาวะเงินเฟ้อ
เงินฝืด นั้นเป็นสถานการณ์ตรงกันข้าม เมื่อระดับราคาสินค้าและบริการลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัญหาคือความต้องการซื้อน้อยลง และปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไม่พอ
ภาวะเงินฝืดส่งผลให้ผู้ผลิตไม่อยากเพิ่มการผลิต ลดการจ้างงาน และในที่สุดเศรษฐกิจก็ซบเซา ทั้งเงินเฟ้อและเงินฝืดต่างก็ส่งผลเสีย ถ้าความรุนแรงยาวนาน
สาเหตุการเกิดเงินเฟ้อ: มากกว่าที่คิด
เงินเฟ้อ เกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ:
1. Demand Pull Inflation - ความต้องการเพิ่มมากขึ้นแต่อุปทานไม่พอ ผู้ขายจึงขึ้นราคา
2. Cost Push Inflation - ต้นทุนการผลิตแพงขึ้น เช่น ราคาน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ชิปเซมิคอนดักเตอร์ ผู้ผลิตต้องส่งต่อต้นทุนให้ผู้บริโภค
3. Printing Money Inflation - รัฐบาลพิมพ์เงินเพิ่มจำนวนมาก ปริมาณเงินในระบบเกินความต้องการ
ในปัจจุบันเงินเฟ้อทั่วโลกเกิดจากการรวมตัวของหลายปัจจัย: การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ถูกชะลอจากโควิด 19 ความต้องการบริโภคที่อัดอั้น (revenge spending) ต้นทุนพลังงานสูง ปัญหาการขนส่ง และการขาดแคลนสินค้าต่าง ๆ
วัดเงินเฟ้อได้อย่างไร: CPI เป็นตัวบ่งชี้
ทุกเดือน กระทรวงพาณิชย์ไทยเก็บรวบรวมราคาสินค้า 430 รายการ มาคำนวณเป็นดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) การเปลี่ยนแปลงของ CPI เทียบกับปีก่อนคืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป
ข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2567: CPI อยู่ที่ 110.3 เพิ่มขึ้น 0.3% จากปีก่อน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงเป็น 1.11% ต่อปี - ระดับต่ำสุดในรอบ 35 เดือน เนื่องจากราคาพลังงานและอาหารสดลดลง
ใครได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อ?
ผู้ประกอบการ - สามารถขึ้นราคาสินค้าขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเพิ่มกำไร
เจ้าหนี้ - เมื่อเงินเฟ้อสูง เงินที่ผู้กู้ต้องจ่ายกลับเป็นจำนวนเดียวกัน แต่มูลค่าลดลง
ผู้ถือหุ้น - บริษัทสามารถสร้างกำไรได้มากขึ้นจากการขึ้นราคา
ตัวอย่างจริง: ปตท.จำกัด (มหาชน) ในครึ่งปีแรกปี 2565 ทำกำไรสุทธิ 64,419 ล้านบาท เติบโต 12.7% เมื่อเทียบปีก่อนหน้า เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูง
ผู้เสียเปรียบ - พนักงานเงินเดือน เพราะเงินเดือนเพิ่มอัตราต่ำกว่าเงินเฟ้อ คนที่เก็บเงินสดไว้จะเห็นอำนาจซื้อลดลง
ผลกระทบของเงินเฟ้อต่อชีวิตประจำวัน
ราคาสินค้าจำเป็นเช่น เนื้อสัตว์ ผัก ไข่ น้ำมัน ปรับเปลี่ยนไปอย่างมากในแต่ละปี:
ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นหมายถึงอำนาจซื้อลดลง ประชาชนมีเงินเหลือจากการใช้จ่ายอื่นน้อยลง
กลยุทธ์การลงทุนเมื่อเงินเฟ้อมา
ลงทุนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์
หุ้นธนาคาร - กำไรมาจากส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ เมื่ออัตราดอกเบี้ยขึ้น กำไรก็เพิ่มตามไปด้วย
หุ้นประกัน - ลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนตามอัตราเงินเฟ้อ
หุ้นอาหาร - สินค้าจำเป็น ผู้บริโภคต้องซื้อไม่ว่าแค่ไหน บริษัทสามารถขึ้นราคาได้
อสังหาริมทรัพย์
ค่าเช่าเคลื่อนไหวตามเงินเฟ้อ ไม่ผันผวนตามตลาดหุ้น ถ้ามีเงินเพียงพอ การซื้อทรัพย์สินจริงถือเป็นการป้องกันมูลค่า
ทองคำ
ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับอัตราเงินเฟ้อ ยิ่งเงินเฟ้อสูง ราคาทองคำก็สูงตามไปด้วย
ตราสารหนี้แบบปรับอัตรา
เลือก Floating Rate Bond หรือ Inflation Linked Bond ที่อัตราดอกเบี้ยปรับตามอัตราเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลง
ฝากดอกเบี้ยสูง
บัญชีเงินฝากแบบประจำให้ผลตอบแทนสูงกว่าบัญชีธรรมชาติ
วิธีรับมือกับเงินเฟ้อ: แผนการเงินรัดกุม
1. หลีกเลี่ยงหนี้ที่ไม่สร้างรายได้ - ลดการกู้ยืมโดยไม่มีเป้าหมาย ยั้งคิดก่อนซื้อของไม่จำเป็น
2. ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ - เนื่องจากเงินเฟ้อมีผลต่อการลงทุนทั้งของหมู่ เราต้องรู้เทรนด์เศรษฐกิจ
3. หลากหลายพอร์ตการลงทุน - ลงทุนในหุ้น ทรัพย์สิน ทองคำ ตราสารหนี้ เพื่อกระจายความเสี่ยง
4. คิดถึงตัวเลขจริง - เปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนกับอัตราเงินเฟ้อ ถ้าผลตอบแทนต่ำกว่า เงินของคุณยังคงสูญเสีย
ประวัติเงินเฟ้อของไทย: บทเรียนจากอดีต
ปี 2517 ไทยประสบเงินเฟ้อสูงถึง 24.3% เนื่องจากวิกฤติน้ำมันจากสงครามตะวันออกกลาง
ปี 2523 เงินเฟ้อสูงอีกครั้งเพราะสงครามอิรัก-อิหร่าน
ปี 2541 หลังวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 เงินบาทอ่อนค่า เงินเฟ้อพุ่ง 7.89%
ตั้งแต่นั้นมา ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดการให้เงินเฟ้อไม่เกิน 5% มาระยะนาน
ปี 2565 เงินเฟ้อพุ่ง 7.10% เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน
ภาวะ Stagflation: สถานการณ์ที่ชั่วร้ายที่สุด
Stagflation = เงินเฟ้อสูง + เศรษฐกิจเติบโตช้า ซึ่งไม่ดีต่อใครเลย
เมื่ออำนาจเงินในมือลดลง ผู้บริโภคใช้จ่ายน้อย ธุรกิจขายของไม่ได้ จึงลดราคา กำไรลด ไม่ขยายกิจการ ปลดพนักงาน อัตราว่างงานเพิ่ม GDP โตช้า สภาวะนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด
ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังไม่เข้า Stagflation อย่างแท้จริง แต่ก็ต้องติดตามข่าวสารต่อไป
เงินเฟ้อ vs เงินฝืด: สรุปความแตกต่าง
สิ่งที่ IMF คาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก
ข้อมูลจาก IMF ถึง มกราคม 2567 พบว่า:
บทสรุป: ยุค Inflation ต้องรู้เล่นหุ้น ทรัพย์สิน และทองคำ
เงินเฟ้อ ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายหากอยู่ในระดับที่พอเหมาะ เศรษฐกิจจะเติบโต คนมีงานทำ เงินหมุนเวียน แต่ถ้าเงินเฟ้อหลุดควบคุม หรือเข้า Stagflation ก็เป็นอันตรายจริง
หัวใจสำคัญของการอยู่รอดในยุคเงินเฟ้อคือ อย่าให้เงินเฉยๆ นั่ง ต้องนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ ทรัพย์สิน ทองคำ หรือตราสารหนี้แบบปรับอัตรา
ติดตามข่าวเศรษฐกิจ วางแผนการเงิน หลากหลายการลงทุน - นี่คือวิธีที่นักลงทุนฉลาดควรรับมือกับภาวะเงินเฟ้อและเงินฝืดให้เหมาะสม