Esta página pode conter conteúdos de terceiros, que são fornecidos apenas para fins informativos (sem representações/garantias) e não devem ser considerados como uma aprovação dos seus pontos de vista pela Gate, nem como aconselhamento financeiro ou profissional. Consulte a Declaração de exoneração de responsabilidade para obter mais informações.
Depreciação: Como gerir ativos que os contabilistas precisam de conhecer
ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) เป็นเครื่องมือทางการเงินสำคัญที่ช่วยบริษัทวัดมูลค่าของสินทรัพย์ตลอดช่วงเวลาการใช้งาน แม้ว่าหลายคนมองว่าเป็นแค่กระบวนการทางบัญชีธรรมดา แต่ความจริงแล้ว มันสงประเด็นที่สำคัญต่อการวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินของบริษัท
ค่าเสื่อมราคามีความสำคัญต่อธุรกิจเพราะเหตุใด
เมื่อบริษัทต้องเปรียบเทียบกำไรกับบริษัทอื่น ค่าเสื่อมราคามักสร้างความแตกต่างอย่างมาก บริษัทที่มีเครื่องจักรและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายจะหักค่าเสื่อมราคาในจำนวนที่สูงกว่า ซึ่งอาจทำให้กำไรสุทธิดูต่ำกว่าบริษัทที่มีสินทรัพย์ถาวรน้อยกว่า
ในทางปฏิบัติ ค่าเสื่อมราคาจะรวมอยู่ในการคำนวณ EBIT (กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี) แต่ถูกตัดออกจาก EBITDA ความแตกต่างนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนเพราะ EBITDA ให้ภาพชัดเจนกว่าเกี่ยวกับความสามารถในการสร้างรายได้จริงของบริษัท โดยไม่รับผลกระทบจากการเลือกวิธีการบัญชีของบริษัท
สินทรัพย์ใดที่สามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้
กรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ชัดเจนว่า สินทรัพย์ใดสามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้ สินทรัพย์ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้จึงจะถือว่าสามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้:
สินทรัพย์ทั่วไปที่สามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้ ได้แก่ ยานพาหนะ อาคาร เฟอร์นิเจอร์ คอมพิวเตอร์ เครื่องจักร และแม้แต่สินทรัพย์ไม่มีตัวตนบางอย่าง เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ และซอฟต์แวร์
ในทางตรงข้าม ที่ดิน ของสะสม (เช่น งานศิลปะ) การลงทุน (หุ้นและพันธบัตร) และสินทรัพย์ส่วนบุคคลไม่สามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้ เนื่องจากมูลค่าของมันไม่ลดลง หรือใช้งานน้อยกว่าหนึ่งปี
วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา: สี่วิธีหลัก
1. วิธีเส้นตรง (Straight-line Method)
นี่คือวิธีที่ง่ายและนิยมใช้มากที่สุด คุณแบ่งมูลค่าของสินทรัพย์เท่าๆ กันตลอดอายุการใช้งาน สำหรับตัวอย่าง หากบริษัทซื้อรถยนต์ราคา 100,000 บาท ที่คาดว่าใช้งานได้ 5 ปี ค่าเสื่อมราคาต่อปีจะอยู่ที่ 20,000 บาท
ข้อดี: ใช้งานง่าย เกิดข้อผิดพลาดน้อย ธุรกิจขนาดเล็กจึงมักเลือกวิธีนี้
ข้อเสีย: ไม่คำนึงถึงการสูญเสียมูลค่าที่รวดเร็วในระยะเริ่มต้น หรือการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการบำรุงรักษาเมื่อสินทรัพย์เก่าขึ้น
2. วิธีลดลงสองเท่า (Double-Declining Balance)
วิธีนี้อนุญาตให้ตัดค่าเสื่อมราคาสูงในปีแรก แล้วลดลงเรื่อยๆ ช่วยให้บริษัทเรียกคืนมูลค่าสินทรัพย์ได้เร็วกว่า เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเงินสดเพิ่มเติมในช่วงแรก
ข้อดี: ชดเชยต้นทุนการบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้น เพิ่มการลดหย่อนภาษีในปีแรก
ข้อเสีย: คุณจะไม่ได้รับประโยชน์หากธุรกิจขาดทุนทางภาษีอยู่แล้ว
3. วิธีลดลงสัดส่วน (Declining Balance)
เป็นรูปแบบหนึ่งของการคิดค่าเสื่อมราคาแบบเร่ง มูลค่าสินทรัพย์จะถูกตัดด้วยอัตราที่เป็นสองเท่าของวิธีเส้นตรง ส่งผลให้ค่าเสื่อมราคาสูงขึ้นในปีแรกๆ แล้วลดลงตามลำดับ
4. วิธีหน่วยการผลิต (Units of Production)
วิธีนี้คิดค่าเสื่อมราคาตามการใช้งานจริงของสินทรัพย์ เหมาะสำหรับเครื่องจักร ที่ค่าเสื่อมราคาขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมงการใช้งานหรือปริมาณการผลิต
ข้อดี: ความแม่นยำสูง สะท้อนต้นทุนตามการใช้งานจริง
ข้อเสีย: ต้องติดตามการใช้งานอย่างละเอียด ยากต่อการประมาณมูลค่าที่สินทรัพย์สามารถผลิตได้เมื่อสิ้นอายุการใช้งาน
ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) คืออะไร
ค่าตัดจำหน่าย เป็นกระบวนการทางบัญชีที่คล้ายกับค่าเสื่อมราคา แต่ใช้กับสินทรัพย์ไม่มีตัวตนและเงินกู้ มันหมายถึงการชำระหนี้เป็นงวดปกติซึ่งประกอบด้วยดอกเบี้ยและเงินต้น
ตัวอย่างคลาสสิก: หากบริษัทมีเงินกู้ 10,000 บาท ชำระต้นเดือนละ 2,000 บาท ค่าตัดจำหน่ายต่อปีจะเป็น 2,000 บาท
สำหรับสินทรัพย์ไม่มีตัวตน: หากสิทธิบัตรสำหรับเครื่องจักรราคา 10,000 บาท และใช้งานได้ 10 ปี ค่าตัดจำหน่ายต่อปีคือ 1,000 บาท
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
ความเหมือนระหว่าง EBIT และ EBITDA
นักลงทุนมักสับสนระหว่าง EBIT (กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี) และ EBITDA (กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย)
ความแตกต่างหลัก: EBITDA บวกค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายกลับเข้าไปในรายได้ เพื่อแสดงรายได้ที่ไม่รับผลกระทบจากการเลือกวิธีบัญชี นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม EBITDA จึงมีประโยชน์ในการเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมต่างๆ
ความสำคัญสำหรับนักลงทุน
การเข้าใจค่าเสื่อมราคาช่วยให้นักลงทุนสามารถ:
สรุป: ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายไม่ใช่แค่กระบวนการบัญชีทำให้ว่างไป แต่เป็นเลนส์ที่สำคัญในการมองเห็นสุขภาพทางการเงินแท้จริงของธุรกิจ การเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งจึงเป็นทักษะสำคัญสำหรับใครก็ตามที่สนใจในการลงทุนหรือการจัดการการเงินบริษัท